10 อันดับขนมหวานไทยยอดฮิต
ขนมหวานไทย ถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าและเป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยรสชาติที่หวานหอมละมุน รูปทรงที่ประณีต และสีสันที่สวยงาม ขนมหวานไทยไม่ได้เป็นเพียงอาหารหวาน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน
ความเป็นมาของขนมหวานไทย
ขนมหวานไทยมีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการค้าขายและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับประเทศต่างๆ ทั้งจากอินเดีย จีน และโปรตุเกส การนำเอาส่วนผสมและเทคนิคการทำขนมของต่างชาติมาปรับปรุงและผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น มะพร้าว น้ำตาลปี๊บ และข้าว ทำให้ขนมไทยมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์
1. ข้าวเหนียวมะม่วง
ข้าวเหนียวมูนหวานมัน ทานคู่กับมะม่วงสุกหอมหวาน เป็นขนมที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ ข้าวเหนียวที่ถูกมูนด้วยกะทิหอมมัน ราดด้วยน้ำกะทิเค็มนิด ๆ ตัดกับความหวานของมะม่วงสุก ทำให้ขนมนี้เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากในช่วงหน้าร้อน
4. ขนมชั้น
ขนมชั้น ที่มีลักษณะเป็นชั้นๆ สีสันสดใส ทำจากแป้ง น้ำตาล และกะทิ รสชาติหวานมันและหอมกลิ่นกะทิ ขนมนี้มักจะถูกทำในโอกาสพิเศษ เช่น งานมงคลสมรส เพราะเชื่อว่าชีวิตจะมีความเจริญก้าวหน้าเหมือนกับชั้นของขนม
วัตถุดิบ
ส่วนผสมสำหรับขนมชั้น
- แป้งมัน: 1 ถ้วยตวง
- แป้งข้าวเจ้า: 1/4 ถ้วยตวง
- แป้งท้าวยายม่อม: 1/4 ถ้วยตวง
- กะทิ: 2 ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย: 1 1/2 ถ้วยตวง
- น้ำลอยดอกมะลิ: 1 ถ้วยตวง (ถ้าไม่มีใช้เป็นน้ำเปล่าผสมกับกลิ่นมะลิแทน)
- น้ำใบเตย: 1/2 ถ้วยตวง (สำหรับสีเขียว)
- สีผสมอาหาร: สีตามชอบ (เช่น สีชมพู, สีฟ้า, สีม่วง)
- น้ำมันพืช: เล็กน้อย (สำหรับทาถาดหรือพิมพ์)
ขั้นตอนการทำ
1. การเตรียมส่วนผสม
ขั้นตอนที่ 1: ผสมแป้ง
1.1 ผสมแป้ง: ในชามผสมใหญ่ ให้ร่อนแป้งมัน แป้งข้าวเจ้า และแป้งท้าวยายม่อมรวมกัน จากนั้นคนให้แป้งทั้งสามชนิดเข้ากันดี
ขั้นตอนที่ 2: เตรียมน้ำกะทิ
2.1 เคี่ยวน้ำกะทิ: ในหม้ออีกใบ นำกะทิและน้ำตาลทรายขึ้นตั้งไฟกลาง คนให้น้ำตาลละลายจนหมด แต่ระวังไม่ให้กะทิแตกมัน จากนั้นยกลงจากเตา พักให้เย็นเล็กน้อย
2.2 ผสมน้ำกะทิลงในแป้ง: ค่อยๆ เทน้ำกะทิลงในชามแป้งที่เตรียมไว้ทีละน้อย คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว และไม่มีเม็ดแป้งเหลืออยู่
ขั้นตอนที่ 3: แบ่งส่วนผสมและผสมสี
3.1 แบ่งส่วนผสม: แบ่งส่วนผสมออกเป็น 2 ส่วนหรือมากกว่า ตามจำนวนสีที่ต้องการใช้
3.2 ผสมสี: ผสมสีผสมอาหารลงในส่วนผสมแต่ละส่วน เช่น ใส่น้ำใบเตยในส่วนผสมหนึ่งเพื่อให้ได้สีเขียว และใส่สีผสมอาหารสีอื่นในส่วนที่เหลือ
2. การนึ่งขนมชั้น
ขั้นตอนที่ 1: เตรียมถาดนึ่ง
1.1 ทาถาดด้วยน้ำมัน: ทาน้ำมันพืชบางๆ บนถาดหรือพิมพ์ขนมเพื่อป้องกันการติด
1.2 ตั้งน้ำให้เดือด: ตั้งซึ้งนึ่งใส่น้ำให้เดือดก่อนการนึ่ง
ขั้นตอนที่ 2: เทและนึ่งแต่ละชั้น
2.1 เทชั้นแรก: ตักส่วนผสมสีหนึ่ง (เช่น สีเขียว) ลงในถาดที่เตรียมไว้ ประมาณ 1/4 – 1/3 ของความหนาที่ต้องการ
2.2 นึ่งชั้นแรก: นำถาดเข้าไปนึ่งในซึ้งที่น้ำเดือด ใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที หรือจนกว่าชั้นจะสุก (ตรวจสอบโดยดูว่าแป้งเซ็ตตัวและมีความใส)
2.3 เทชั้นต่อไป: เมื่อชั้นแรกสุกแล้ว ตักส่วนผสมสีที่สอง (เช่น สีชมพู) ลงบนชั้นแรกที่สุกแล้ว นึ่งต่ออีก 5-7 นาที ทำซ้ำขั้นตอนนี้จนหมดส่วนผสมและได้จำนวนชั้นตามต้องการ
ขั้นตอนที่ 3: นึ่งชั้นสุดท้ายและพักขนม
3.1 นึ่งชั้นสุดท้าย: หลังจากนึ่งชั้นสุดท้ายแล้ว ให้เพิ่มเวลาเป็น 10 นาทีเพื่อให้ขนมสุกทั่วทั้งก้อน
3.2 พักให้เย็น: เมื่อขนมสุกแล้ว นำถาดออกมาจากซึ้ง พักขนมให้เย็นในถาดจนสามารถนำออกจากถาดได้ง่าย
3. การตัดและเสิร์ฟขนมชั้น
ขั้นตอนที่ 1: ตัดขนม
1.1 ตัดขนม: เมื่อขนมเย็นสนิทแล้ว ใช้มีดที่ทาน้ำมันพืชเล็กน้อย หรือน้ำอุ่นตัดขนมเป็นชิ้นตามขนาดและรูปร่างที่ต้องการ
ขั้นตอนที่ 2: จัดเสิร์ฟ
2.1 เสิร์ฟทันที: นำขนมชั้นที่ตัดแล้ว จัดใส่จานหรือภาชนะพร้อมเสิร์ฟ หากไม่เสิร์ฟทันทีสามารถเก็บในภาชนะที่มีฝาปิด เพื่อรักษาความนุ่มของขนม
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- การใช้แป้งท้าวยายม่อม: แป้งท้าวยายม่อมช่วยให้ขนมมีความเหนียวนุ่มและหนึบขึ้น อย่าละเว้นในการผสม
- การนึ่ง: การนึ่งแต่ละชั้นต้องให้แน่ใจว่าชั้นแรกสุกก่อนเทชั้นต่อไป เพราะถ้าชั้นแรกยังไม่สุก ชั้นต่อไปจะไม่เซ็ตตัวดี
- การพักขนม: หลังจากนึ่งเสร็จ ควรพักขนมให้เย็นสนิทก่อนการตัด เพื่อป้องกันขนมแตกหรือชั้นแยกออกจากกัน
5. ขนมถ้วย
ขนมถ้วย ขนมไทยพื้นบ้านที่มักพบในตลาดสด ขนมถ้วยมีสองชั้น ด้านล่างเป็นแป้งกะทิหวาน ด้านบนเป็นกะทิเค็มเล็กน้อย รสชาติหวานมันเค็มเข้ากันได้ดี ทำให้ขนมถ้วยเป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลาย
6. ตะโก้
ตะโก้ เป็นขนมไทยที่มีความหวานมัน มีสองชั้น ด้านล่างเป็นวุ้นแป้งและเนื้อใน เช่น เผือกหรือข้าวโพด ด้านบนเป็นกะทิข้นที่มีรสเค็มนิด ๆ เป็นขนมที่มีความกรุบกรอบจากแป้งและความมันจากกะทิ เป็นที่นิยมในทุกเพศทุกวัย
วัตถุดิบ
ส่วนผสมสำหรับหน้ากะทิ (ชั้นบน)
- หัวกะทิ: 2 ถ้วยตวง
- แป้งข้าวเจ้า: 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือป่น: 1/2 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย: 1 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสมสำหรับตัวตะโก้ (ชั้นล่าง)
- แป้งถั่วเขียว: 1/2 ถ้วยตวง
- แป้งข้าวเจ้า: 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย: 1/2 ถ้วยตวง
- น้ำเปล่า: 2 ถ้วยตวง
- กะทิ: 1 ถ้วยตวง
- ใส่เผือก ข้าวโพด หรือถั่วเขียวตามชอบ: 1 ถ้วยตวง
- ใบเตย (สำหรับกลิ่นหอม): 2-3 ใบ
ขั้นตอนการทำ
1. การเตรียมส่วนผสม
ขั้นตอนที่ 1: เตรียมตัวตะโก้ (ชั้นล่าง)
1.1 ผสมแป้งและน้ำ: ในชามผสม ใส่แป้งถั่วเขียวและแป้งข้าวเจ้าเข้าด้วยกัน เติมน้ำเปล่าลงไปแล้วคนให้แป้งละลายดี
1.2 ต้มแป้ง: ตั้งกระทะบนไฟกลาง เทส่วนผสมแป้งลงไปแล้วคนต่อเนื่อง ใส่น้ำตาลทรายและกะทิลงไป คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลายและแป้งเริ่มข้น
1.3 ใส่ใบเตย: ใส่ใบเตยลงไปในกระทะเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม คนต่อเนื่องจนแป้งข้นเหนียวและใสเป็นมัน
1.4 ใส่ไส้ตามชอบ: ใส่เผือก ข้าวโพด หรือถั่วเขียวที่เตรียมไว้ลงในแป้ง คนให้เข้ากัน จากนั้นยกลงจากเตา
ขั้นตอนที่ 2: เตรียมหน้ากะทิ (ชั้นบน)
2.1 ผสมแป้งและกะทิ: ในชามผสม ใส่หัวกะทิ แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย และเกลือป่นเข้าด้วยกัน คนให้แป้งละลายดี
2.2 ต้มหน้ากะทิ: ตั้งกระทะบนไฟกลาง เทส่วนผสมกะทิลงไปแล้วคนให้เข้ากันต่อเนื่องจนแป้งข้นและมีความเนียนเป็นมัน
2. การจัดตะโก้ในกระทง
ขั้นตอนที่ 1: เตรียมกระทง
1.1 ทำกระทงใบตองหรือถ้วยตะไล: หากใช้กระทงใบตอง ให้เตรียมกระทงใบตองให้มีขนาดพอดีคำ หรือใช้ถ้วยตะไลเล็กๆ
ขั้นตอนที่ 2: เทตัวตะโก้และหน้ากะทิ
2.1 เทตัวตะโก้ลงกระทง: ตักตัวตะโก้ที่เตรียมไว้ลงในกระทงหรือถ้วยตะไลจนเกือบเต็ม
2.2 เทหน้ากะทิลงบนตัวตะโก้: ตักหน้ากะทิที่ต้มไว้ลงบนตัวตะโก้จนเต็มกระทง
3. การจัดเสิร์ฟ
ขั้นตอนที่ 1: พักให้เย็น
1.1 พักตะโก้: พักตะโก้ให้เย็นลงจนเซ็ตตัวดี
ขั้นตอนที่ 2: เสิร์ฟ
2.1 เสิร์ฟตะโก้: จัดตะโก้ใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- การใช้ใบเตย: ใบเตยช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับตัวตะโก้ และยังสามารถใช้ใบเตยในการทำกระทงเพื่อเพิ่มความสวยงามและเอกลักษณ์ไทยได้
- การปรับรสชาติ: สามารถปรับปริมาณน้ำตาลและเกลือในหน้ากะทิตามความชอบ เพื่อให้ได้รสชาติหวานมันที่พอดี
7. เม็ดขนุน
เม็ดขนุน ขนมไทยที่มีรูปร่างเป็นเม็ดขนุน สีเหลืองทอง ทำจากถั่วเขียวบดผสมกับน้ำตาลและไข่แดง หุ้มด้วยไข่เค็มหยอดเป็นรูปร่าง ทานแล้วได้รสชาติหวานมันละมุน ขนมนี้มักถูกใช้ในงานมงคลเช่นกัน เนื่องจากมีความหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองและโชคลาภ
วัตถุดิบ
ส่วนผสมสำหรับตัวขนม
- ถั่วเขียวเลาะเปลือก (ถั่วทอง): 1 ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย: 1 ถ้วยตวง
- กะทิ: 1/2 ถ้วยตวง
- เกลือป่น: 1/4 ช้อนชา
ส่วนผสมสำหรับชุบไข่
- ไข่แดงของไข่เป็ด: 4 ฟอง
- ไข่แดงของไข่ไก่: 2 ฟอง
- น้ำมันพืช (สำหรับทามือและถาด)
ส่วนผสมสำหรับน้ำเชื่อม
- น้ำตาลทราย: 1 ถ้วยตวง
- น้ำเปล่า: 1 ถ้วยตวง
ขั้นตอนการทำ
1. การเตรียมส่วนผสม
ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมถั่วเขียว
1.1 ล้างและแช่ถั่วเขียว: ล้างถั่วเขียวให้สะอาด แช่ในน้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืนจนถั่วนุ่ม
1.2 นึ่งถั่วเขียว: นำถั่วเขียวที่แช่ไว้มาใส่ในผ้าขาวบาง นึ่งในหม้อนึ่งจนถั่วสุกและนุ่ม
1.3 บดถั่วเขียว: นำถั่วเขียวที่นึ่งแล้วมาบดให้ละเอียด จากนั้นผสมกับกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนให้เข้ากัน
1.4 ผัดถั่ว: ตั้งกระทะบนไฟอ่อน ใส่ส่วนผสมถั่วลงไปผัดจนแห้งและสามารถปั้นได้ ยกลงจากเตาแล้วพักไว้ให้เย็น
ขั้นตอนที่ 2: เตรียมน้ำเชื่อม
2.1 ต้มน้ำเชื่อม: นำน้ำตาลทรายและน้ำเปล่าใส่หม้อตั้งไฟกลาง คนจนกว่าน้ำตาลละลายหมด และน้ำเชื่อมเริ่มข้น จากนั้นลดไฟลงให้น้ำเชื่อมเดือดเบาๆ
2. การทำเม็ดขนุน
ขั้นตอนที่ 1: ปั้นตัวขนม
1.1 ปั้นตัวขนม: ทาน้ำมันพืชบนมือเล็กน้อย แล้วปั้นส่วนผสมถั่วเขียวที่เตรียมไว้เป็นรูปทรงเม็ดขนุน ขนาดประมาณปลายนิ้วก้อย
ขั้นตอนที่ 2: ชุบไข่
2.1 เตรียมไข่สำหรับชุบ: ตีไข่แดงของไข่เป็ดและไข่ไก่ให้เข้ากัน
2.2 ชุบไข่: นำเม็ดขนุนที่ปั้นไว้ลงไปชุบในไข่แดง โดยใช้ไม้เสียบหรือช้อนตักไข่แดงราดบนเม็ดขนุนให้ทั่ว
ขั้นตอนที่ 3: ต้มในน้ำเชื่อม
3.1 ต้มในน้ำเชื่อม: นำเม็ดขนุนที่ชุบไข่แล้วลงไปต้มในน้ำเชื่อมที่เดือดเบาๆ จนไข่เซ็ตตัวและมีสีเหลืองสวย จากนั้นตักขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำเชื่อม
3. การจัดเสิร์ฟ
ขั้นตอนที่ 1: พักให้เย็น
1.1 พักเม็ดขนุน: พักเม็ดขนุนให้เย็นลงและเซ็ตตัวดี
ขั้นตอนที่ 2: เสิร์ฟ
2.1 จัดเสิร์ฟ: จัดเม็ดขนุนใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ สามารถจัดเสิร์ฟร่วมกับขนมไทยอื่นๆ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด หรือฝอยทองเพื่อเพิ่มความสวยงาม
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- การเลือกไข่แดง: ใช้ไข่แดงของไข่เป็ดผสมกับไข่ไก่ เพื่อให้ได้สีเหลืองที่สดใสและเนื้อนุ่มของเม็ดขนุน
- การทำให้น้ำเชื่อมข้น: ในการทำน้ำเชื่อม ควรตั้งไฟอ่อนและคนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้น้ำเชื่อมข้นและเคลือบตัวเม็ดขนุนได้ดี
8. ขนมหม้อแกง
ขนมหม้อแกง ทำจากไข่ น้ำตาลปี๊บ และกะทิ มีรสชาติหวานมันและกลิ่นหอมของหอมเจียว ขนมนี้นิยมทำในงานบุญหรือเป็นของฝากจากเพชรบุรี ซึ่งเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงในการทำขนมหม้อแกงที่อร่อยและมีคุณภาพ
วัตถุดิบ
ส่วนผสมสำหรับตัวขนม
- แป้งข้าวเจ้า: 1 ถ้วยตวง
- น้ำตาลปี๊บ: 1 ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย: 1/2 ถ้วยตวง
- กะทิ: 1 1/2 ถ้วยตวง
- ไข่ไก่: 2 ฟอง
- น้ำสะอาด: 1/2 ถ้วยตวง
- เกลือป่น: 1/4 ช้อนชา
- น้ำมันพืช: 2 ช้อนโต๊ะ (สำหรับทาในหม้อ)
ส่วนผสมสำหรับการเคลือบหน้าขนม
- กะทิ: 1/2 ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย: 2 ช้อนโต๊ะ
- แป้งข้าวเจ้า: 1 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนการทำ
1. การเตรียมตัวขนม
ขั้นตอนที่ 1: เตรียมส่วนผสม
1.1 เตรียมแป้ง: ใส่แป้งข้าวเจ้าในชามผสมใหญ่
1.2 ผสมน้ำตาล: ใส่น้ำตาลปี๊บและน้ำตาลทรายลงไปในชามผสมกับแป้ง คนให้เข้ากัน
1.3 เตรียมกะทิ: ผสมกะทิและน้ำสะอาดในชามแยก ตีไข่ไก่ในอีกชามหนึ่งแล้วใส่ลงไปในส่วนผสมกะทิ
1.4 รวมส่วนผสม: เทส่วนผสมของกะทิและไข่ลงในแป้งข้าวเจ้า คนให้เข้ากันดีจนแป้งละลายและไม่มีฟองอากาศ
ขั้นตอนที่ 2: เตรียมหม้อ
2.1 ทาน้ำมัน: ทาน้ำมันพืชให้ทั่วหม้อที่ใช้ในการทำขนม เพื่อไม่ให้ขนมติดหม้อ
2.2 ตั้งไฟ: นำหม้อไปตั้งไฟอ่อนจนร้อน
2. การทำขนมหม้อแกง
ขั้นตอนที่ 1: เทและกวน
1.1 เทส่วนผสม: เทส่วนผสมขนมหม้อแกงลงในหม้อที่เตรียมไว้
1.2 กวน: ใช้พายไม้หรือช้อนกวนขนมตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ติดหม้อและไม่ให้เป็นก้อน
1.3 ปรุงจนสุก: กวนจนขนมเริ่มข้นและพ้นจากหม้อได้ง่าย โดยใช้ไฟอ่อนและระมัดระวังเพื่อไม่ให้ขนมไหม้
3. การเตรียมเคลือบหน้าขนม
ขั้นตอนที่ 1: ผสมเคลือบ
1.1 เตรียมส่วนผสมเคลือบ: ผสมกะทิ น้ำตาลทราย และแป้งข้าวเจ้าในชามจนแป้งละลาย
1.2 เคลือบขนม: เมื่อขนมหม้อแกงในหม้อเริ่มเซ็ตตัวและแห้งออก ให้เทส่วนผสมเคลือบลงไปบนหน้าขนม
1.3 นึ่งต่อ: นำหม้อไปนึ่งต่อประมาณ 10-15 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุกและเคลือบด้านบนมีความข้น
4. การเสิร์ฟ
ขั้นตอนที่ 1: พักให้เย็น
1.1 พักขนม: เมื่อลวกขนมหม้อแกงเสร็จแล้วให้พักในหม้อให้เย็น
ขั้นตอนที่ 2: หั่นและเสิร์ฟ
2.1 หั่นขนม: หั่นขนมหม้อแกงให้เป็นชิ้นพอคำ
2.2 เสิร์ฟ: เสิร์ฟขนมหม้อแกงที่หั่นแล้วในจาน สามารถทานได้ทั้งอุ่นและเย็น
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- การควบคุมความร้อน: ใช้ไฟอ่อนตลอดกระบวนการทำเพื่อให้ขนมหม้อแกงสุกอย่างทั่วถึงและไม่ไหม้
- การผสมแป้ง: ควรผสมแป้งให้ละลายดีเพื่อลดการเป็นก้อนและให้ขนมมีเนื้อเนียน
- การนึ่ง: อย่านึ่งขนมหม้อแกงนานเกินไปเพื่อป้องกันการแห้ง
9. ขนมกล้วย
ขนมกล้วย ทำจากกล้วยน้ำว้า แป้งข้าวเจ้าและกะทิ นำมานึ่งจนสุก ขนมมีรสชาติหวานจากกล้วย และความมันจากกะทิ เป็นขนมไทยที่ทำง่ายและได้รับความนิยมในทุกครอบครัว
วัตถุดิบ
ส่วนผสมหลัก
- กล้วยน้ำว้า: 6-8 ลูก (เลือกกล้วยที่สุกพอเหมาะ เนื้อเนียนไม่เหลว)
- แป้งข้าวเจ้า: 1 ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย: 1/2 ถ้วยตวง
- น้ำตาลปี๊บ: 1/4 ถ้วยตวง
- กะทิ: 1 ถ้วยตวง
- เกลือป่น: 1/4 ช้อนชา
- น้ำสะอาด: 1/4 ถ้วยตวง
สำหรับทามือหรือหม้อ
- น้ำมันพืช: สำหรับทาหม้อ
ขั้นตอนการทำ
1. การเตรียมกล้วย
ขั้นตอนที่ 1: บดกล้วย
1.1 ปอกกล้วย: ปอกกล้วยน้ำว้าแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
1.2 บดกล้วย: ใช้ที่บดหรือส้อมบดกล้วยให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเนียน
2. การเตรียมส่วนผสม
ขั้นตอนที่ 1: ผสมแป้ง
1.1 ผสมแป้ง: ใส่แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ และเกลือลงในชามผสม
1.2 เติมกะทิ: เทกะทิลงในส่วนผสมแป้งและคนให้เข้ากัน
1.3 ใส่กล้วยบด: เติมกล้วยบดลงในชามผสมแล้วคนให้เข้ากันดี
3. การทำขนม
ขั้นตอนที่ 1: เตรียมหม้อ
1.1 ทาน้ำมัน: ทาน้ำมันพืชให้ทั่วหม้อที่ใช้ในการทำขนมเพื่อป้องกันขนมติดหม้อ
1.2 ตั้งหม้อ: นำหม้อไปตั้งบนไฟกลางจนร้อน
ขั้นตอนที่ 2: เทและกวน
2.1 เทส่วนผสม: เทส่วนผสมกล้วยลงในหม้อที่เตรียมไว้
2.2 กวน: ใช้พายไม้หรือช้อนกวนส่วนผสมในหม้ออย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการติดหม้อ
2.3 ปรุงจนสุก: กวนขนมจนเนื้อขนมเริ่มหนืดและแตกตัวจากหม้อ โดยใช้ไฟอ่อนและระมัดระวังไม่ให้ไหม้
4. การตั้งขนม
ขั้นตอนที่ 1: ตั้งขนม
1.1 เทใส่ถาด: เทขนมที่กวนเสร็จแล้วลงในถาดที่ทาน้ำมันพืชไว้
1.2 พักให้เย็น: ปล่อยให้ขนมเย็นตัวและเซ็ตตัว
5. การเสิร์ฟ
ขั้นตอนที่ 1: หั่นและเสิร์ฟ
1.1 หั่นขนม: หั่นขนมกล้วยให้เป็นชิ้นพอคำ
1.2 เสิร์ฟ: เสิร์ฟขนมกล้วยที่หั่นแล้วในจาน
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- การเลือกกล้วย: ควรเลือกกล้วยน้ำว้าที่สุกพอเหมาะ ไม่สุกเกินไปหรือยังไม่สุกเพื่อให้ขนมมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุด
- การกวน: การกวนขนมควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เนื้อขนมสุกอย่างสม่ำเสมอและไม่ติดหม้อ
- การตั้งขนม: ขนมควรจะเย็นและเซ็ตตัวดีเพื่อให้ขนมกล้วยมีเนื้อสัมผัสที่ดี
10. สังขยาฟักทอง
สังขยาฟักทอง เป็นขนมไทยที่มีความหวานมัน ทำจากไข่ น้ำตาล และกะทิ ที่ใส่ลงในฟักทองที่คว้านเนื้อออก นำไปนึ่งจนสุก รสชาติหวานมันของสังขยากับความนุ่มของฟักทองเข้ากันได้อย่างลงตัว ขนมนี้มักพบในงานบุญหรืองานเลี้ยงต่างๆ
วัตถุดิบ
สำหรับทำฟักทอง
- ฟักทอง: 1 ลูก (ขนาดกลาง)
- น้ำเปล่า: สำหรับนึ่ง
สำหรับทำสังขยา
- ไข่ไก่: 4 ฟอง
- น้ำตาลปี๊บ: 1 ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย: 1/4 ถ้วยตวง
- กะทิ: 1 ถ้วยตวง
- น้ำ: 1/4 ถ้วยตวง
- เกลือป่น: 1/4 ช้อนชา
- แป้งข้าวเจ้า: 1 ช้อนโต๊ะ (เพื่อให้ขนมหนืดขึ้น)
ขั้นตอนการทำ
1. การเตรียมฟักทอง
ขั้นตอนที่ 1: เตรียมฟักทอง
1.1 ล้างและผ่า: ล้างฟักทองให้สะอาด แล้วใช้มีดผ่าครึ่งฟักทองออก
1.2 ขูดเมล็ด: ขูดเอาเมล็ดฟักทองออกและทำความสะอาดเนื้อฟักทอง
ขั้นตอนที่ 2: นึ่งฟักทอง
2.1 เตรียมหม้อนึ่ง: เติมน้ำในหม้อแล้วตั้งไฟให้เดือด
2.2 นึ่งฟักทอง: วางฟักทองที่เตรียมไว้ในตะแกรงนึ่งและนึ่งประมาณ 20-30 นาที หรือจนกว่าฟักทองจะสุกนุ่ม
2.3 พักให้เย็น: นำฟักทองออกจากหม้อนึ่งและพักให้เย็น
2. การทำสังขยา
ขั้นตอนที่ 1: เตรียมส่วนผสม
1.1 ตีไข่: ตีไข่ไก่ให้เข้ากันในชามขนาดใหญ่
1.2 ผสมน้ำตาล: เติมน้ำตาลปี๊บและน้ำตาลทรายลงในไข่ตีให้ละลาย
1.3 เติมกะทิ: ใส่กะทิลงไปในส่วนผสมแล้วคนให้เข้ากัน
1.4 เติมแป้งข้าวเจ้า: เติมแป้งข้าวเจ้าและเกลือป่นลงไปแล้วคนให้เข้ากัน
ขั้นตอนที่ 2: นำสังขยาใส่ฟักทอง
2.1 ตัดฟักทอง: ใช้ช้อนขูดเนื้อฟักทองบางส่วนออก เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับสังขยา
2.2 เทสังขยา: เทส่วนผสมสังขยาลงในฟักทองที่เตรียมไว้
ขั้นตอนที่ 3: นึ่งสังขยา
3.1 เตรียมหม้อนึ่ง: เติมน้ำในหม้อแล้วตั้งไฟให้เดือด
3.2 นึ่งฟักทองที่มีสังขยา: วางฟักทองที่มีสังขยาในตะแกรงนึ่ง แล้วนึ่งประมาณ 30-40 นาที หรือจนกว่าสังขยาจะเซ็ตตัวและไม่ติดไม้ปลาย
3.3 พักให้เย็น: นำฟักทองออกจากหม้อนึ่งแล้วพักให้เย็น
3. การเสิร์ฟ
ขั้นตอนที่ 1: หั่นและเสิร์ฟ
1.1 หั่นฟักทอง: ใช้มีดหั่นฟักทองที่มีสังขยาเป็นชิ้นพอคำ
1.2 จัดเสิร์ฟ: เสิร์ฟสังขยาฟักทองในจานหรือถ้วย พร้อมกับฟักทองที่หั่นแล้ว
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- การนึ่ง: ใช้ไฟอ่อนในการนึ่งเพื่อให้สังขยาเซ็ตตัวอย่างทั่วถึงและไม่แตก
- การเลือกฟักทอง: ควรเลือกฟักทองที่มีเนื้อแน่นและหวานเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด
- การผสมสังขยา: ให้ตีไข่และน้ำตาลให้ละลายดี เพื่อให้สังขยามีเนื้อสัมผัสที่นุ่มเนียน
ความสำคัญของขนมหวานไทยในวิถีชีวิตและประเพณี
ขนมหวานไทยมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตและประเพณีของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นในงานบุญ งานแต่งงาน งานเทศกาลต่างๆ หรือการทำบุญเลี้ยงพระ ขนมหวานเหล่านี้มักถูกนำมาใช้เพื่อเป็นสิ่งของบูชา หรือเป็นของขวัญในโอกาสสำคัญ สะท้อนถึงความรัก ความใส่ใจ และความปรารถนาดีต่อกัน
การสืบทอดและอนุรักษ์ขนมหวานไทย
ปัจจุบัน แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปและขนมสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ขนมหวานไทยยังคงได้รับการสืบทอดและอนุรักษ์จากรุ่นสู่รุ่น หลายคนยังคงให้ความสำคัญกับการทำขนมหวานไทยแบบดั้งเดิม ในขณะเดียวกันก็มีการปรับปรุงและสร้างสรรค์ขนมหวานไทยรูปแบบใหม่ๆ ให้เข้ากับยุคสมัย โดยไม่สูญเสีย
เครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการทำขนมและของหวาน
- เครื่องหั่นผลไม้ เช่น หั่นฟักทองนำมาทำฟักทองแกงบวช
- เครื่องทำคุกกี้ มีหลายประเภทที่ช่วยให้การทำขนมสะดวกและมีประสิทธิภาพ: เครื่องตีแป้ง (Stand Mixer) ใช้ผสมแป้งและส่วนผสมให้เข้ากัน; เครื่องปั่นมือ (Hand Mixer) เหมาะสำหรับการทำคุกกี้ในปริมาณน้อย; เครื่องทำคุกกี้ (Cookie Press) ใช้ในการกดแป้งให้มีรูปทรงที่สวยงาม; เครื่องอบคุกกี้ (Cookie Oven) ช่วยให้การอบคุกกี้มีความสม่ำเสมอ; และเครื่องปั่น (Blender) สำหรับผสมส่วนผสมที่เป็นของเหลว.
- เครื่องทาเนยอัตโนมัติ ช่วยให้การทาเนยบนขนมปังหรือแผ่นแป้งเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยเครื่องจะทำงานอัตโนมัติเพื่อกระจายเนยอย่างสม่ำเสมอ มีฟังก์ชันที่สามารถปรับความหนาของชั้นเนยและความเร็วในการทาได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาการทำงาน