10 อันดับขนมหวานไทยยอดฮิต


10 อันดับขนมหวานไทยยอดฮิต


ขนมหวานไทย ถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าและเป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยรสชาติที่หวานหอมละมุน รูปทรงที่ประณีต และสีสันที่สวยงาม ขนมหวานไทยไม่ได้เป็นเพียงอาหารหวาน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน

ความเป็นมาของขนมหวานไทย

ขนมหวานไทยมีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการค้าขายและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับประเทศต่างๆ ทั้งจากอินเดีย จีน และโปรตุเกส การนำเอาส่วนผสมและเทคนิคการทำขนมของต่างชาติมาปรับปรุงและผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น มะพร้าว น้ำตาลปี๊บ และข้าว ทำให้ขนมไทยมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์



1. ข้าวเหนียวมะม่วง

ข้าวเหนียวมูนหวานมัน ทานคู่กับมะม่วงสุกหอมหวาน เป็นขนมที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ ข้าวเหนียวที่ถูกมูนด้วยกะทิหอมมัน ราดด้วยน้ำกะทิเค็มนิด ๆ ตัดกับความหวานของมะม่วงสุก ทำให้ขนมนี้เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากในช่วงหน้าร้อน


วัตถุดิบ:

  1. ข้าวเหนียวมูน:

    • ข้าวเหนียวเขี้ยวงู: 2 ถ้วยตวง
    • กะทิ: 1 1/2 ถ้วยตวง
    • น้ำตาลทราย: 1/2 ถ้วยตวง
    • เกลือ: 1 ช้อนชา
    • ใบเตย (สำหรับเพิ่มกลิ่นหอม): 2 ใบ (ล้างสะอาดและมัดเป็นปม)
  2. น้ำกะทิราด:

    • กะทิ: 1 ถ้วยตวง
    • น้ำตาลทราย: 1/4 ถ้วยตวง
    • เกลือ: 1/4 ช้อนชา
    • แป้งข้าวเจ้า: 1 ช้อนชา
  3. มะม่วงสุก:

    • มะม่วงสุกหอมหวาน (เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้หรือมะม่วงอกร่อง): 2-3 ลูก (ปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้น)
  4. งาขาวคั่ว (สำหรับโรยหน้า):

    • 1-2 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนการทำ:

1. เตรียมข้าวเหนียวมูน:

1.1 ล้างข้าวเหนียวเขี้ยวงูให้สะอาด โดยการซาวน้ำ 2-3 ครั้ง แล้วแช่ข้าวเหนียวในน้ำสะอาดประมาณ 3-4 ชั่วโมง หรือค้างคืน

1.2 นำข้าวเหนียวที่แช่แล้วมานึ่งในหวด (ซึ่งปูด้วยผ้าขาวบาง) หรือใช้ซึ้งนึ่งประมาณ 25-30 นาที จนข้าวเหนียวสุก

1.3 ขณะที่ข้าวเหนียวกำลังนึ่ง ให้เตรียมกะทิสำหรับมูนโดยนำกะทิ น้ำตาลทราย เกลือ และใบเตยไปตั้งไฟอ่อน คนให้ส่วนผสมละลายและมีกลิ่นหอม ห้ามต้มจนเดือด จากนั้นยกลงจากเตา

1.4 เมื่อข้าวเหนียวสุกแล้ว นำข้าวเหนียวร้อนๆ ใส่ในชามขนาดใหญ่ และราดกะทิที่เตรียมไว้ลงไปทันที จากนั้นคนให้เข้ากัน และปิดฝาหรือคลุมด้วยผ้าขาวบางทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที ให้ข้าวเหนียวดูดซับกะทิจนหมด

2. เตรียมน้ำกะทิราด:

2.1 ในหม้อเล็ก ใส่กะทิ น้ำตาลทราย เกลือ และแป้งข้าวเจ้าลงไป ตั้งไฟอ่อน คนให้ส่วนผสมละลายและข้นขึ้นเล็กน้อย

2.2 ปิดไฟและยกลงจากเตา พักไว้

3. การจัดเสิร์ฟ:

3.1 ตักข้าวเหนียวมูนลงในจาน จัดมะม่วงสุกที่หั่นไว้ข้างๆ

3.2 ราดน้ำกะทิที่เตรียมไว้บนข้าวเหนียวมูน และโรยงาขาวคั่วบนข้าวเหนียวเพื่อเพิ่มความกรุบกรอบและกลิ่นหอม

4. พร้อมเสิร์ฟ:

เสิร์ฟข้าวเหนียวมะม่วงทันที พร้อมเพลิดเพลินกับรสชาติหวานมันของข้าวเหนียวและความหวานสดชื่นของมะม่วงสุก


เคล็ดลับเพิ่มเติม:

  • การใช้ใบเตยในการมูนข้าวเหนียวจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอม
  • ข้าวเหนียวที่ใช้ควรเป็นข้าวเหนียวเขี้ยวงูเพื่อให้เนื้อข้าวเหนียวมูนมีความเหนียวนุ่มและไม่แข็งเกินไป



2. ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง

สามสหายขนมไทยที่มีความหมายมงคล สื่อถึงความมั่งคั่งร่ำรวย ทำจากไข่แดงและน้ำตาล โดยฝอยทองจะถูกยืดเป็นเส้นยาว ทองหยิบถูกจับจีบสวยงาม และทองหยอดเป็นรูปหยดน้ำ ทั้งสามขนมนี้มักใช้ในงานมงคลและเทศกาลสำคัญ


1. ทองหยิบ

วัตถุดิบ:

  • ไข่แดงของไข่เป็ด: 10 ฟอง
  • น้ำตาลทราย: 2 ถ้วยตวง
  • น้ำลอยดอกมะลิ: 2 ถ้วยตวง (หรือใช้น้ำเปล่า)

ขั้นตอนการทำ:

1.1 เตรียมน้ำเชื่อม:

  • นำน้ำตาลทรายและน้ำลอยดอกมะลิใส่หม้อตั้งไฟกลางจนเดือดและน้ำตาลละลายหมด ปิดไฟและพักไว้ให้เย็น

1.2 ทำไข่แดง:

  • ตอกไข่เป็ดแล้วแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว จากนั้นกรองไข่แดงผ่านผ้าขาวบางหรือกระชอนเพื่อให้เนื้อเนียน

1.3 การทอด:

  • ตักไข่แดงใส่พิมพ์หรือช้อนตักแล้วค่อย ๆ หยอดลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือดบนไฟอ่อน รอจนสุกและจับตัวเป็นก้อน จากนั้นตักขึ้นมาวางบนกระดาษซับน้ำมัน

1.4 จัดรูป:

  • ใช้ปลายนิ้วแตะไข่แดงให้เป็นรูปดอกบัวหรือดอกไม้โดยการบีบปลายทั้งห้าออกมา แล้ววางลงบนถาดที่เตรียมไว้

2. ทองหยอด

วัตถุดิบ:

  • ไข่แดงของไข่เป็ด: 10 ฟอง
  • แป้งทองหยอด (แป้งข้าวเจ้า): 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย: 2 ถ้วยตวง
  • น้ำลอยดอกมะลิ: 2 ถ้วยตวง

ขั้นตอนการทำ:

2.1 เตรียมน้ำเชื่อม:

  • ทำน้ำเชื่อมเหมือนขั้นตอนการทำทองหยิบ โดยต้มน้ำตาลและน้ำลอยดอกมะลิให้เดือดและละลาย

2.2 ทำไข่แดง:

  • ตีไข่แดงกับแป้งทองหยอดให้เข้ากันจนเนื้อเนียน

2.3 การหยอด:

  • ใช้ช้อนเล็ก ๆ ตักไข่แดงผสมแป้งหยอดลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือด ต้มจนสุกและลอยขึ้นมา ตักขึ้นแล้วแช่ในน้ำเชื่อมอ่อน ๆ ที่เตรียมไว้

2.4 จัดเสิร์ฟ:

  • ตักทองหยอดขึ้นมาจากน้ำเชื่อมแล้ววางลงบนกระดาษซับน้ำมัน

3. ฝอยทอง

วัตถุดิบ:

  • ไข่แดงของไข่เป็ด: 10 ฟอง
  • ไข่ไก่ทั้งฟอง: 2 ฟอง (สำหรับเพิ่มความเหนียว)
  • น้ำตาลทราย: 2 ถ้วยตวง
  • น้ำลอยดอกมะลิ: 2 ถ้วยตวง
  • ใบเตย: 2-3 ใบ (เพิ่มกลิ่นหอม)

ขั้นตอนการทำ:

3.1 เตรียมน้ำเชื่อม:

  • ต้มน้ำตาลทรายกับน้ำลอยดอกมะลิและใบเตยให้เดือดจนเป็นน้ำเชื่อม จากนั้นตักใบเตยออกและลดไฟให้เหลือไฟอ่อน

3.2 เตรียมไข่:

  • ตีไข่แดงและไข่ไก่ให้เข้ากัน จากนั้นกรองผ่านผ้าขาวบางหรือกระชอนให้เนื้อเนียน

3.3 การทำฝอยทอง:

  • เตรียมกรวยใบตองหรือถุงพลาสติกเจาะรูที่ปลาย จากนั้นตักไข่แดงใส่กรวยและบีบให้เป็นเส้นลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือด

3.4 การต้มและจัดเรียง:

  • ต้มฝอยทองจนสุกแล้วตักขึ้นมาใส่ในน้ำเชื่อมอ่อน ๆ ที่เตรียมไว้ จากนั้นค่อย ๆ นำมาจัดเรียงเป็นรูปที่ต้องการ หรือม้วนให้เป็นช่อ

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

  • น้ำลอยดอกมะลิช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับขนม
  • การควบคุมอุณหภูมิของน้ำเชื่อมในทุกขั้นตอนเป็นสิ่งสำคัญ ต้องรักษาให้อยู่ในระดับกลางถึงอ่อนเสมอเพื่อให้ขนมมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและหอมหวาน

ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง ถือเป็นขนมหวานไทยที่ได้รับความนิยม และเป็นสัญลักษณ์ของความมงคลในงานพิธีต่าง ๆ ด้วยลักษณะที่เป็นสีทองเปล่งประกาย



3. ลอดช่องน้ำกะทิ

เส้น”ลอดช่อง”เหนียวนุ่ม ทำจากแป้งท้าวยายม่อม ในน้ำกะทิหวานเย็นและน้ำตาลโตนด เป็นขนมที่คนไทยนิยมทานในช่วงฤดูร้อน รสชาติหวานหอมเย็นชื่นใจ เหมาะสำหรับคลายร้อน


วัตถุดิบ

ส่วนผสมสำหรับเส้นลอดช่อง

  • แป้งข้าวเจ้า: 1 ถ้วยตวง
  • แป้งถั่วเขียว: 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำใบเตยเข้มข้น: 1 1/2 ถ้วยตวง (ใช้ใบเตยสดประมาณ 10-15 ใบ ปั่นกับน้ำแล้วกรอง)
  • น้ำปูนใส: 1/4 ถ้วยตวง (ช่วยให้เส้นกรอบและคงรูป)
  • น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง (สำหรับแช่เส้น): ปริมาณพอสมควร

ส่วนผสมสำหรับน้ำกะทิ

  • กะทิสดหรือกะทิกล่อง: 2 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลปี๊บ: 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย: 1/4 ถ้วยตวง (ปรับตามความหวานที่ชอบ)
  • เกลือป่น: 1/2 ช้อนชา
  • ใบเตย: 2-3 ใบ (มัดเป็นปมเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม)

ส่วนผสมเพิ่มเติม

  • น้ำเชื่อม (ถ้าต้องการเพิ่มความหวาน)
  • น้ำแข็งบดหรือก้อน: ปริมาณตามชอบ

ขั้นตอนการทำ

1. การทำเส้นลอดช่อง

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมน้ำใบเตย

1.1 เตรียมใบเตย: ล้างใบเตยให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ในเครื่องปั่น

1.2 ปั่นน้ำใบเตย: เติมน้ำสะอาดประมาณ 1 1/2 ถ้วยตวงลงในเครื่องปั่น ปั่นจนใบเตยละเอียด

1.3 กรองน้ำใบเตย: ใช้ผ้าขาวบางหรือกระชอนกรองน้ำใบเตยออกมา จะได้น้ำใบเตยสีเขียวเข้มและมีกลิ่นหอม

ขั้นตอนที่ 2: ผสมแป้ง

2.1 ผสมแป้ง: ใส่แป้งข้าวเจ้าและแป้งถั่วเขียวลงในหม้อผสม คนให้เข้ากัน

2.2 เติมน้ำปูนใสและน้ำใบเตย: ค่อย ๆ เติมน้ำปูนใสและน้ำใบเตยที่เตรียมไว้ลงในแป้ง คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันจนไม่มีเม็ดแป้งเหลือ

ขั้นตอนที่ 3: กวนแป้ง

3.1 ตั้งไฟ: นำหม้อผสมแป้งขึ้นตั้งบนไฟกลาง ควรคนตลอดเวลาเพื่อไม่ให้แป้งติดก้นหม้อ

3.2 กวนจนแป้งสุก: กวนแป้งจนมีลักษณะเหนียว ใส และข้นขึ้น สีจะเปลี่ยนเป็นเขียวใส และแป้งจะหลุดจากข้างหม้อ แสดงว่าแป้งสุกแล้ว ปิดไฟและยกลงจากเตา

ขั้นตอนที่ 4: กดเส้นลอดช่อง

4.1 เตรียมน้ำเย็น: เตรียมชามหรือภาชนะขนาดใหญ่ ใส่น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งไว้สำหรับแช่เส้น

4.2 กดเส้น: ใช้พิมพ์กดลอดช่องหรือกระชอนรูใหญ่ ตักแป้งที่สุกแล้วใส่ลงในพิมพ์และกดให้เส้นลอดช่องไหลลงสู่น้ำเย็น เส้นจะเซ็ตตัวและคงรูปทันที

4.3 พักเส้น: หลังจากกดเส้นทั้งหมดแล้ว ให้พักเส้นในน้ำเย็นประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้เส้นเซ็ตตัวและเหนียวนุ่ม จากนั้นตักเส้นขึ้นมาใส่ภาชนะสะอาด พักไว้

2. การทำน้ำกะทิ

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมน้ำกะทิ

1.1 ผสมน้ำกะทิ: ใส่กะทิลงในหม้อ ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เกลือ และใบเตย

1.2 ตั้งไฟ: นำหม้อขึ้นตั้งไฟอ่อน คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี ห้ามปล่อยให้กะทิเดือดจัดเพราะจะทำให้กะทิแตกมัน

1.3 ตรวจสอบรสชาติ: ชิมรสชาติและปรับความหวานตามชอบ เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีและมีกลิ่นหอมจากใบเตยแล้ว ปิดไฟและยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น

3. การจัดเสิร์ฟ

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมถ้วยเสิร์ฟ

1.1 ใส่เส้นลอดช่อง: ตักเส้นลอดช่องที่เตรียมไว้ลงในถ้วยหรือแก้วประมาณ 1/3 – 1/2 ของภาชนะ

1.2 เติมน้ำกะทิ: ราดน้ำกะทิที่เย็นแล้วลงไปจนท่วมเส้น

1.3 ใส่น้ำแข็ง: เติมน้ำแข็งบดหรือน้ำแข็งก้อนตามชอบ เพื่อเพิ่มความเย็นสดชื่น

1.4 เพิ่มน้ำเชื่อม (ถ้าต้องการ): หากชอบหวานมากขึ้น สามารถเติมน้ำเชื่อมลงไปเพิ่มเติมได้

ขั้นตอนที่ 2: พร้อมเสิร์ฟ

2.1 เสิร์ฟทันที: ลอดช่องน้ำกะทิที่เตรียมเสร็จแล้ว ควรเสิร์ฟทันทีเพื่อความอร่อยและสดชื่นที่สุด


เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • ความเข้มของสีเขียว: หากต้องการสีเขียวที่เข้มขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณใบเตยในการทำน้ำใบเตย หรือใช้สีผสมอาหารสีเขียวเล็กน้อย
  • ความเหนียวนุ่มของเส้น: น้ำปูนใสช่วยให้เส้นลอดช่องคงรูปและกรอบนอกนุ่มใน แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป
  • การป้องกันกะทิแตกมัน: ขณะต้มกะทิ ควรใช้ไฟอ่อนและคนตลอดเวลา ห้ามปล่อยให้เดือดจัด
  • การเก็บรักษา: เส้นลอดช่องที่ทำเสร็จแล้วสามารถเก็บในตู้เย็นได้ 1-2 วัน โดยแช่ในน้ำสะอาด ส่วนน้ำกะทิก็ควรเก็บในตู้เย็นและอุ่นก่อนใช้



4. ขนมชั้น

ขนมชั้น ที่มีลักษณะเป็นชั้นๆ สีสันสดใส ทำจากแป้ง น้ำตาล และกะทิ รสชาติหวานมันและหอมกลิ่นกะทิ ขนมนี้มักจะถูกทำในโอกาสพิเศษ เช่น งานมงคลสมรส เพราะเชื่อว่าชีวิตจะมีความเจริญก้าวหน้าเหมือนกับชั้นของขนม


วัตถุดิบ

ส่วนผสมสำหรับขนมชั้น

  • แป้งมัน: 1 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวเจ้า: 1/4 ถ้วยตวง
  • แป้งท้าวยายม่อม: 1/4 ถ้วยตวง
  • กะทิ: 2 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย: 1 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำลอยดอกมะลิ: 1 ถ้วยตวง (ถ้าไม่มีใช้เป็นน้ำเปล่าผสมกับกลิ่นมะลิแทน)
  • น้ำใบเตย: 1/2 ถ้วยตวง (สำหรับสีเขียว)
  • สีผสมอาหาร: สีตามชอบ (เช่น สีชมพู, สีฟ้า, สีม่วง)
  • น้ำมันพืช: เล็กน้อย (สำหรับทาถาดหรือพิมพ์)

ขั้นตอนการทำ

1. การเตรียมส่วนผสม

ขั้นตอนที่ 1: ผสมแป้ง

1.1 ผสมแป้ง: ในชามผสมใหญ่ ให้ร่อนแป้งมัน แป้งข้าวเจ้า และแป้งท้าวยายม่อมรวมกัน จากนั้นคนให้แป้งทั้งสามชนิดเข้ากันดี

ขั้นตอนที่ 2: เตรียมน้ำกะทิ

2.1 เคี่ยวน้ำกะทิ: ในหม้ออีกใบ นำกะทิและน้ำตาลทรายขึ้นตั้งไฟกลาง คนให้น้ำตาลละลายจนหมด แต่ระวังไม่ให้กะทิแตกมัน จากนั้นยกลงจากเตา พักให้เย็นเล็กน้อย

2.2 ผสมน้ำกะทิลงในแป้ง: ค่อยๆ เทน้ำกะทิลงในชามแป้งที่เตรียมไว้ทีละน้อย คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว และไม่มีเม็ดแป้งเหลืออยู่

ขั้นตอนที่ 3: แบ่งส่วนผสมและผสมสี

3.1 แบ่งส่วนผสม: แบ่งส่วนผสมออกเป็น 2 ส่วนหรือมากกว่า ตามจำนวนสีที่ต้องการใช้

3.2 ผสมสี: ผสมสีผสมอาหารลงในส่วนผสมแต่ละส่วน เช่น ใส่น้ำใบเตยในส่วนผสมหนึ่งเพื่อให้ได้สีเขียว และใส่สีผสมอาหารสีอื่นในส่วนที่เหลือ

2. การนึ่งขนมชั้น

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมถาดนึ่ง

1.1 ทาถาดด้วยน้ำมัน: ทาน้ำมันพืชบางๆ บนถาดหรือพิมพ์ขนมเพื่อป้องกันการติด

1.2 ตั้งน้ำให้เดือด: ตั้งซึ้งนึ่งใส่น้ำให้เดือดก่อนการนึ่ง

ขั้นตอนที่ 2: เทและนึ่งแต่ละชั้น

2.1 เทชั้นแรก: ตักส่วนผสมสีหนึ่ง (เช่น สีเขียว) ลงในถาดที่เตรียมไว้ ประมาณ 1/4 – 1/3 ของความหนาที่ต้องการ

2.2 นึ่งชั้นแรก: นำถาดเข้าไปนึ่งในซึ้งที่น้ำเดือด ใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที หรือจนกว่าชั้นจะสุก (ตรวจสอบโดยดูว่าแป้งเซ็ตตัวและมีความใส)

2.3 เทชั้นต่อไป: เมื่อชั้นแรกสุกแล้ว ตักส่วนผสมสีที่สอง (เช่น สีชมพู) ลงบนชั้นแรกที่สุกแล้ว นึ่งต่ออีก 5-7 นาที ทำซ้ำขั้นตอนนี้จนหมดส่วนผสมและได้จำนวนชั้นตามต้องการ

ขั้นตอนที่ 3: นึ่งชั้นสุดท้ายและพักขนม

3.1 นึ่งชั้นสุดท้าย: หลังจากนึ่งชั้นสุดท้ายแล้ว ให้เพิ่มเวลาเป็น 10 นาทีเพื่อให้ขนมสุกทั่วทั้งก้อน

3.2 พักให้เย็น: เมื่อขนมสุกแล้ว นำถาดออกมาจากซึ้ง พักขนมให้เย็นในถาดจนสามารถนำออกจากถาดได้ง่าย

3. การตัดและเสิร์ฟขนมชั้น

ขั้นตอนที่ 1: ตัดขนม

1.1 ตัดขนม: เมื่อขนมเย็นสนิทแล้ว ใช้มีดที่ทาน้ำมันพืชเล็กน้อย หรือน้ำอุ่นตัดขนมเป็นชิ้นตามขนาดและรูปร่างที่ต้องการ

ขั้นตอนที่ 2: จัดเสิร์ฟ

2.1 เสิร์ฟทันที: นำขนมชั้นที่ตัดแล้ว จัดใส่จานหรือภาชนะพร้อมเสิร์ฟ หากไม่เสิร์ฟทันทีสามารถเก็บในภาชนะที่มีฝาปิด เพื่อรักษาความนุ่มของขนม


เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • การใช้แป้งท้าวยายม่อม: แป้งท้าวยายม่อมช่วยให้ขนมมีความเหนียวนุ่มและหนึบขึ้น อย่าละเว้นในการผสม
  • การนึ่ง: การนึ่งแต่ละชั้นต้องให้แน่ใจว่าชั้นแรกสุกก่อนเทชั้นต่อไป เพราะถ้าชั้นแรกยังไม่สุก ชั้นต่อไปจะไม่เซ็ตตัวดี
  • การพักขนม: หลังจากนึ่งเสร็จ ควรพักขนมให้เย็นสนิทก่อนการตัด เพื่อป้องกันขนมแตกหรือชั้นแยกออกจากกัน



5. ขนมถ้วย

ขนมถ้วย ขนมไทยพื้นบ้านที่มักพบในตลาดสด ขนมถ้วยมีสองชั้น ด้านล่างเป็นแป้งกะทิหวาน ด้านบนเป็นกะทิเค็มเล็กน้อย รสชาติหวานมันเค็มเข้ากันได้ดี ทำให้ขนมถ้วยเป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลาย


วัตถุดิบ

ส่วนผสมสำหรับหน้ากะทิ (ชั้นบน)

  • หัวกะทิ: 1 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวเจ้า: 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือป่น: 1/4 ช้อนชา

ส่วนผสมสำหรับตัวขนม (ชั้นล่าง)

  • แป้งข้าวเจ้า: 1/2 ถ้วยตวง
  • แป้งท้าวยายม่อม: 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลปี๊บ: 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำลอยดอกมะลิ: 1 ถ้วยตวง (หรือใช้น้ำเปล่าผสมกลิ่นมะลิ)
  • หางกะทิ: 1/2 ถ้วยตวง

ขั้นตอนการทำ

1. การเตรียมส่วนผสม

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมตัวขนม (ชั้นล่าง)

1.1 ผสมน้ำตาลปี๊บและน้ำลอยดอกมะลิ: ใส่น้ำตาลปี๊บลงในชามผสม ตามด้วยน้ำลอยดอกมะลิ (หรือใช้น้ำเปล่าผสมกลิ่นมะลิ) คนให้เข้ากันจนกระทั่งน้ำตาลละลายหมด

1.2 ผสมแป้ง: ในชามผสมแยกต่างหาก นำแป้งข้าวเจ้าและแป้งท้าวยายม่อมมาร่อนรวมกัน จากนั้นค่อยๆ เติมส่วนผสมของน้ำตาลปี๊บและน้ำลอยดอกมะลิลงไป คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว

1.3 เติมหางกะทิ: เติมหางกะทิลงไปในส่วนผสมแป้ง คนให้เข้ากันดี

ขั้นตอนที่ 2: เตรียมหน้ากะทิ (ชั้นบน)

2.1 ผสมแป้งกับกะทิ: นำแป้งข้าวเจ้าและเกลือป่นผสมกับหัวกะทิ คนให้เข้ากันจนแป้งละลายหมดและเนื้อเนียน

2. การนึ่งขนมถ้วย

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมถ้วยตะไล

1.1 ล้างถ้วยตะไล: ล้างถ้วยตะไลให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง

1.2 ตั้งซึ้งนึ่ง: ตั้งซึ้งนึ่งให้น้ำเดือด ก่อนเริ่มนึ่งขนม

ขั้นตอนที่ 2: นึ่งตัวขนม (ชั้นล่าง)

2.1 เทตัวขนมลงในถ้วย: ตักส่วนผสมตัวขนม (ชั้นล่าง) ลงในถ้วยตะไล ประมาณ 3/4 ของถ้วย

2.2 นึ่งตัวขนม: นำถ้วยตะไลที่เทตัวขนมไว้แล้วไปนึ่งในซึ้ง ใช้เวลา 5-7 นาที หรือจนตัวขนมเซ็ตตัวและสุก

ขั้นตอนที่ 3: นึ่งหน้ากะทิ (ชั้นบน)

3.1 เทหน้ากะทิลงในถ้วย: เมื่อชั้นล่างสุกแล้ว ให้ตักส่วนผสมหน้ากะทิลงบนชั้นล่างในถ้วยตะไลที่นึ่งเสร็จแล้ว

3.2 นึ่งหน้ากะทิ: นำถ้วยตะไลกลับไปนึ่งต่ออีก 5 นาที หรือจนหน้ากะทิสุกและเนื้อข้น

3. การจัดเสิร์ฟ

ขั้นตอนที่ 1: พักขนมให้เย็น

1.1 พักขนม: เมื่อขนมถ้วยนึ่งเสร็จแล้ว นำออกจากซึ้งและพักไว้ให้เย็นลงเล็กน้อย

ขั้นตอนที่ 2: เสิร์ฟ

2.1 เสิร์ฟขนมถ้วย: นำขนมถ้วยที่เย็นแล้ว จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ หรือเก็บในตู้เย็นสำหรับเสิร์ฟในภายหลัง


เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • การใช้แป้งท้าวยายม่อม: แป้งท้าวยายม่อมช่วยให้ตัวขนมมีความหนึบและเนียนขึ้น อย่าละเว้นในการใช้
  • การควบคุมความหวาน: หากต้องการรสชาติที่หวานน้อยลง สามารถลดปริมาณน้ำตาลปี๊บได้ตามชอบ
  • การนึ่ง: ในระหว่างการนึ่ง ควรใช้ไฟกลางเพื่อให้ขนมสุกทั่วและมีเนื้อเนียน





6. ตะโก้

ตะโก้ เป็นขนมไทยที่มีความหวานมัน มีสองชั้น ด้านล่างเป็นวุ้นแป้งและเนื้อใน เช่น เผือกหรือข้าวโพด ด้านบนเป็นกะทิข้นที่มีรสเค็มนิด ๆ เป็นขนมที่มีความกรุบกรอบจากแป้งและความมันจากกะทิ เป็นที่นิยมในทุกเพศทุกวัย


วัตถุดิบ

ส่วนผสมสำหรับหน้ากะทิ (ชั้นบน)

  • หัวกะทิ: 2 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวเจ้า: 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือป่น: 1/2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย: 1 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมสำหรับตัวตะโก้ (ชั้นล่าง)

  • แป้งถั่วเขียว: 1/2 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวเจ้า: 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย: 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำเปล่า: 2 ถ้วยตวง
  • กะทิ: 1 ถ้วยตวง
  • ใส่เผือก ข้าวโพด หรือถั่วเขียวตามชอบ: 1 ถ้วยตวง
  • ใบเตย (สำหรับกลิ่นหอม): 2-3 ใบ

ขั้นตอนการทำ

1. การเตรียมส่วนผสม

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมตัวตะโก้ (ชั้นล่าง)

1.1 ผสมแป้งและน้ำ: ในชามผสม ใส่แป้งถั่วเขียวและแป้งข้าวเจ้าเข้าด้วยกัน เติมน้ำเปล่าลงไปแล้วคนให้แป้งละลายดี

1.2 ต้มแป้ง: ตั้งกระทะบนไฟกลาง เทส่วนผสมแป้งลงไปแล้วคนต่อเนื่อง ใส่น้ำตาลทรายและกะทิลงไป คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลายและแป้งเริ่มข้น

1.3 ใส่ใบเตย: ใส่ใบเตยลงไปในกระทะเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม คนต่อเนื่องจนแป้งข้นเหนียวและใสเป็นมัน

1.4 ใส่ไส้ตามชอบ: ใส่เผือก ข้าวโพด หรือถั่วเขียวที่เตรียมไว้ลงในแป้ง คนให้เข้ากัน จากนั้นยกลงจากเตา

ขั้นตอนที่ 2: เตรียมหน้ากะทิ (ชั้นบน)

2.1 ผสมแป้งและกะทิ: ในชามผสม ใส่หัวกะทิ แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย และเกลือป่นเข้าด้วยกัน คนให้แป้งละลายดี

2.2 ต้มหน้ากะทิ: ตั้งกระทะบนไฟกลาง เทส่วนผสมกะทิลงไปแล้วคนให้เข้ากันต่อเนื่องจนแป้งข้นและมีความเนียนเป็นมัน

2. การจัดตะโก้ในกระทง

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมกระทง

1.1 ทำกระทงใบตองหรือถ้วยตะไล: หากใช้กระทงใบตอง ให้เตรียมกระทงใบตองให้มีขนาดพอดีคำ หรือใช้ถ้วยตะไลเล็กๆ

ขั้นตอนที่ 2: เทตัวตะโก้และหน้ากะทิ

2.1 เทตัวตะโก้ลงกระทง: ตักตัวตะโก้ที่เตรียมไว้ลงในกระทงหรือถ้วยตะไลจนเกือบเต็ม

2.2 เทหน้ากะทิลงบนตัวตะโก้: ตักหน้ากะทิที่ต้มไว้ลงบนตัวตะโก้จนเต็มกระทง

3. การจัดเสิร์ฟ

ขั้นตอนที่ 1: พักให้เย็น

1.1 พักตะโก้: พักตะโก้ให้เย็นลงจนเซ็ตตัวดี

ขั้นตอนที่ 2: เสิร์ฟ

2.1 เสิร์ฟตะโก้: จัดตะโก้ใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ


เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • การใช้ใบเตย: ใบเตยช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับตัวตะโก้ และยังสามารถใช้ใบเตยในการทำกระทงเพื่อเพิ่มความสวยงามและเอกลักษณ์ไทยได้
  • การปรับรสชาติ: สามารถปรับปริมาณน้ำตาลและเกลือในหน้ากะทิตามความชอบ เพื่อให้ได้รสชาติหวานมันที่พอดี



7. เม็ดขนุน

เม็ดขนุน ขนมไทยที่มีรูปร่างเป็นเม็ดขนุน สีเหลืองทอง ทำจากถั่วเขียวบดผสมกับน้ำตาลและไข่แดง หุ้มด้วยไข่เค็มหยอดเป็นรูปร่าง ทานแล้วได้รสชาติหวานมันละมุน ขนมนี้มักถูกใช้ในงานมงคลเช่นกัน เนื่องจากมีความหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองและโชคลาภ


วัตถุดิบ

ส่วนผสมสำหรับตัวขนม

  • ถั่วเขียวเลาะเปลือก (ถั่วทอง): 1 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย: 1 ถ้วยตวง
  • กะทิ: 1/2 ถ้วยตวง
  • เกลือป่น: 1/4 ช้อนชา

ส่วนผสมสำหรับชุบไข่

  • ไข่แดงของไข่เป็ด: 4 ฟอง
  • ไข่แดงของไข่ไก่: 2 ฟอง
  • น้ำมันพืช (สำหรับทามือและถาด)

ส่วนผสมสำหรับน้ำเชื่อม

  • น้ำตาลทราย: 1 ถ้วยตวง
  • น้ำเปล่า: 1 ถ้วยตวง

ขั้นตอนการทำ

1. การเตรียมส่วนผสม

ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมถั่วเขียว

1.1 ล้างและแช่ถั่วเขียว: ล้างถั่วเขียวให้สะอาด แช่ในน้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืนจนถั่วนุ่ม

1.2 นึ่งถั่วเขียว: นำถั่วเขียวที่แช่ไว้มาใส่ในผ้าขาวบาง นึ่งในหม้อนึ่งจนถั่วสุกและนุ่ม

1.3 บดถั่วเขียว: นำถั่วเขียวที่นึ่งแล้วมาบดให้ละเอียด จากนั้นผสมกับกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนให้เข้ากัน

1.4 ผัดถั่ว: ตั้งกระทะบนไฟอ่อน ใส่ส่วนผสมถั่วลงไปผัดจนแห้งและสามารถปั้นได้ ยกลงจากเตาแล้วพักไว้ให้เย็น

ขั้นตอนที่ 2: เตรียมน้ำเชื่อม

2.1 ต้มน้ำเชื่อม: นำน้ำตาลทรายและน้ำเปล่าใส่หม้อตั้งไฟกลาง คนจนกว่าน้ำตาลละลายหมด และน้ำเชื่อมเริ่มข้น จากนั้นลดไฟลงให้น้ำเชื่อมเดือดเบาๆ

2. การทำเม็ดขนุน

ขั้นตอนที่ 1: ปั้นตัวขนม

1.1 ปั้นตัวขนม: ทาน้ำมันพืชบนมือเล็กน้อย แล้วปั้นส่วนผสมถั่วเขียวที่เตรียมไว้เป็นรูปทรงเม็ดขนุน ขนาดประมาณปลายนิ้วก้อย

ขั้นตอนที่ 2: ชุบไข่

2.1 เตรียมไข่สำหรับชุบ: ตีไข่แดงของไข่เป็ดและไข่ไก่ให้เข้ากัน

2.2 ชุบไข่: นำเม็ดขนุนที่ปั้นไว้ลงไปชุบในไข่แดง โดยใช้ไม้เสียบหรือช้อนตักไข่แดงราดบนเม็ดขนุนให้ทั่ว

ขั้นตอนที่ 3: ต้มในน้ำเชื่อม

3.1 ต้มในน้ำเชื่อม: นำเม็ดขนุนที่ชุบไข่แล้วลงไปต้มในน้ำเชื่อมที่เดือดเบาๆ จนไข่เซ็ตตัวและมีสีเหลืองสวย จากนั้นตักขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำเชื่อม

3. การจัดเสิร์ฟ

ขั้นตอนที่ 1: พักให้เย็น

1.1 พักเม็ดขนุน: พักเม็ดขนุนให้เย็นลงและเซ็ตตัวดี

ขั้นตอนที่ 2: เสิร์ฟ

2.1 จัดเสิร์ฟ: จัดเม็ดขนุนใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ สามารถจัดเสิร์ฟร่วมกับขนมไทยอื่นๆ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด หรือฝอยทองเพื่อเพิ่มความสวยงาม


เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • การเลือกไข่แดง: ใช้ไข่แดงของไข่เป็ดผสมกับไข่ไก่ เพื่อให้ได้สีเหลืองที่สดใสและเนื้อนุ่มของเม็ดขนุน
  • การทำให้น้ำเชื่อมข้น: ในการทำน้ำเชื่อม ควรตั้งไฟอ่อนและคนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้น้ำเชื่อมข้นและเคลือบตัวเม็ดขนุนได้ดี



8. ขนมหม้อแกง

ขนมหม้อแกง ทำจากไข่ น้ำตาลปี๊บ และกะทิ มีรสชาติหวานมันและกลิ่นหอมของหอมเจียว ขนมนี้นิยมทำในงานบุญหรือเป็นของฝากจากเพชรบุรี ซึ่งเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงในการทำขนมหม้อแกงที่อร่อยและมีคุณภาพ


วัตถุดิบ

ส่วนผสมสำหรับตัวขนม

  • แป้งข้าวเจ้า: 1 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลปี๊บ: 1 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย: 1/2 ถ้วยตวง
  • กะทิ: 1 1/2 ถ้วยตวง
  • ไข่ไก่: 2 ฟอง
  • น้ำสะอาด: 1/2 ถ้วยตวง
  • เกลือป่น: 1/4 ช้อนชา
  • น้ำมันพืช: 2 ช้อนโต๊ะ (สำหรับทาในหม้อ)

ส่วนผสมสำหรับการเคลือบหน้าขนม

  • กะทิ: 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย: 2 ช้อนโต๊ะ
  • แป้งข้าวเจ้า: 1 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนการทำ

1. การเตรียมตัวขนม

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมส่วนผสม

1.1 เตรียมแป้ง: ใส่แป้งข้าวเจ้าในชามผสมใหญ่

1.2 ผสมน้ำตาล: ใส่น้ำตาลปี๊บและน้ำตาลทรายลงไปในชามผสมกับแป้ง คนให้เข้ากัน

1.3 เตรียมกะทิ: ผสมกะทิและน้ำสะอาดในชามแยก ตีไข่ไก่ในอีกชามหนึ่งแล้วใส่ลงไปในส่วนผสมกะทิ

1.4 รวมส่วนผสม: เทส่วนผสมของกะทิและไข่ลงในแป้งข้าวเจ้า คนให้เข้ากันดีจนแป้งละลายและไม่มีฟองอากาศ

ขั้นตอนที่ 2: เตรียมหม้อ

2.1 ทาน้ำมัน: ทาน้ำมันพืชให้ทั่วหม้อที่ใช้ในการทำขนม เพื่อไม่ให้ขนมติดหม้อ

2.2 ตั้งไฟ: นำหม้อไปตั้งไฟอ่อนจนร้อน

2. การทำขนมหม้อแกง

ขั้นตอนที่ 1: เทและกวน

1.1 เทส่วนผสม: เทส่วนผสมขนมหม้อแกงลงในหม้อที่เตรียมไว้

1.2 กวน: ใช้พายไม้หรือช้อนกวนขนมตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ติดหม้อและไม่ให้เป็นก้อน

1.3 ปรุงจนสุก: กวนจนขนมเริ่มข้นและพ้นจากหม้อได้ง่าย โดยใช้ไฟอ่อนและระมัดระวังเพื่อไม่ให้ขนมไหม้

3. การเตรียมเคลือบหน้าขนม

ขั้นตอนที่ 1: ผสมเคลือบ

1.1 เตรียมส่วนผสมเคลือบ: ผสมกะทิ น้ำตาลทราย และแป้งข้าวเจ้าในชามจนแป้งละลาย

1.2 เคลือบขนม: เมื่อขนมหม้อแกงในหม้อเริ่มเซ็ตตัวและแห้งออก ให้เทส่วนผสมเคลือบลงไปบนหน้าขนม

1.3 นึ่งต่อ: นำหม้อไปนึ่งต่อประมาณ 10-15 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุกและเคลือบด้านบนมีความข้น

4. การเสิร์ฟ

ขั้นตอนที่ 1: พักให้เย็น

1.1 พักขนม: เมื่อลวกขนมหม้อแกงเสร็จแล้วให้พักในหม้อให้เย็น

ขั้นตอนที่ 2: หั่นและเสิร์ฟ

2.1 หั่นขนม: หั่นขนมหม้อแกงให้เป็นชิ้นพอคำ

2.2 เสิร์ฟ: เสิร์ฟขนมหม้อแกงที่หั่นแล้วในจาน สามารถทานได้ทั้งอุ่นและเย็น


เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • การควบคุมความร้อน: ใช้ไฟอ่อนตลอดกระบวนการทำเพื่อให้ขนมหม้อแกงสุกอย่างทั่วถึงและไม่ไหม้
  • การผสมแป้ง: ควรผสมแป้งให้ละลายดีเพื่อลดการเป็นก้อนและให้ขนมมีเนื้อเนียน
  • การนึ่ง: อย่านึ่งขนมหม้อแกงนานเกินไปเพื่อป้องกันการแห้ง



9. ขนมกล้วย

ขนมกล้วย ทำจากกล้วยน้ำว้า แป้งข้าวเจ้าและกะทิ นำมานึ่งจนสุก ขนมมีรสชาติหวานจากกล้วย และความมันจากกะทิ เป็นขนมไทยที่ทำง่ายและได้รับความนิยมในทุกครอบครัว


วัตถุดิบ

ส่วนผสมหลัก

  • กล้วยน้ำว้า: 6-8 ลูก (เลือกกล้วยที่สุกพอเหมาะ เนื้อเนียนไม่เหลว)
  • แป้งข้าวเจ้า: 1 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย: 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลปี๊บ: 1/4 ถ้วยตวง
  • กะทิ: 1 ถ้วยตวง
  • เกลือป่น: 1/4 ช้อนชา
  • น้ำสะอาด: 1/4 ถ้วยตวง

สำหรับทามือหรือหม้อ

  • น้ำมันพืช: สำหรับทาหม้อ

ขั้นตอนการทำ

1. การเตรียมกล้วย

ขั้นตอนที่ 1: บดกล้วย

1.1 ปอกกล้วย: ปอกกล้วยน้ำว้าแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

1.2 บดกล้วย: ใช้ที่บดหรือส้อมบดกล้วยให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเนียน

2. การเตรียมส่วนผสม

ขั้นตอนที่ 1: ผสมแป้ง

1.1 ผสมแป้ง: ใส่แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ และเกลือลงในชามผสม

1.2 เติมกะทิ: เทกะทิลงในส่วนผสมแป้งและคนให้เข้ากัน

1.3 ใส่กล้วยบด: เติมกล้วยบดลงในชามผสมแล้วคนให้เข้ากันดี

3. การทำขนม

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมหม้อ

1.1 ทาน้ำมัน: ทาน้ำมันพืชให้ทั่วหม้อที่ใช้ในการทำขนมเพื่อป้องกันขนมติดหม้อ

1.2 ตั้งหม้อ: นำหม้อไปตั้งบนไฟกลางจนร้อน

ขั้นตอนที่ 2: เทและกวน

2.1 เทส่วนผสม: เทส่วนผสมกล้วยลงในหม้อที่เตรียมไว้

2.2 กวน: ใช้พายไม้หรือช้อนกวนส่วนผสมในหม้ออย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการติดหม้อ

2.3 ปรุงจนสุก: กวนขนมจนเนื้อขนมเริ่มหนืดและแตกตัวจากหม้อ โดยใช้ไฟอ่อนและระมัดระวังไม่ให้ไหม้

4. การตั้งขนม

ขั้นตอนที่ 1: ตั้งขนม

1.1 เทใส่ถาด: เทขนมที่กวนเสร็จแล้วลงในถาดที่ทาน้ำมันพืชไว้

1.2 พักให้เย็น: ปล่อยให้ขนมเย็นตัวและเซ็ตตัว

5. การเสิร์ฟ

ขั้นตอนที่ 1: หั่นและเสิร์ฟ

1.1 หั่นขนม: หั่นขนมกล้วยให้เป็นชิ้นพอคำ

1.2 เสิร์ฟ: เสิร์ฟขนมกล้วยที่หั่นแล้วในจาน


เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • การเลือกกล้วย: ควรเลือกกล้วยน้ำว้าที่สุกพอเหมาะ ไม่สุกเกินไปหรือยังไม่สุกเพื่อให้ขนมมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุด
  • การกวน: การกวนขนมควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เนื้อขนมสุกอย่างสม่ำเสมอและไม่ติดหม้อ
  • การตั้งขนม: ขนมควรจะเย็นและเซ็ตตัวดีเพื่อให้ขนมกล้วยมีเนื้อสัมผัสที่ดี



10. สังขยาฟักทอง

สังขยาฟักทอง เป็นขนมไทยที่มีความหวานมัน ทำจากไข่ น้ำตาล และกะทิ ที่ใส่ลงในฟักทองที่คว้านเนื้อออก นำไปนึ่งจนสุก รสชาติหวานมันของสังขยากับความนุ่มของฟักทองเข้ากันได้อย่างลงตัว ขนมนี้มักพบในงานบุญหรืองานเลี้ยงต่างๆ


วัตถุดิบ

สำหรับทำฟักทอง

  • ฟักทอง: 1 ลูก (ขนาดกลาง)
  • น้ำเปล่า: สำหรับนึ่ง

สำหรับทำสังขยา

  • ไข่ไก่: 4 ฟอง
  • น้ำตาลปี๊บ: 1 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย: 1/4 ถ้วยตวง
  • กะทิ: 1 ถ้วยตวง
  • น้ำ: 1/4 ถ้วยตวง
  • เกลือป่น: 1/4 ช้อนชา
  • แป้งข้าวเจ้า: 1 ช้อนโต๊ะ (เพื่อให้ขนมหนืดขึ้น)

ขั้นตอนการทำ

1. การเตรียมฟักทอง

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมฟักทอง

1.1 ล้างและผ่า: ล้างฟักทองให้สะอาด แล้วใช้มีดผ่าครึ่งฟักทองออก

1.2 ขูดเมล็ด: ขูดเอาเมล็ดฟักทองออกและทำความสะอาดเนื้อฟักทอง

ขั้นตอนที่ 2: นึ่งฟักทอง

2.1 เตรียมหม้อนึ่ง: เติมน้ำในหม้อแล้วตั้งไฟให้เดือด

2.2 นึ่งฟักทอง: วางฟักทองที่เตรียมไว้ในตะแกรงนึ่งและนึ่งประมาณ 20-30 นาที หรือจนกว่าฟักทองจะสุกนุ่ม

2.3 พักให้เย็น: นำฟักทองออกจากหม้อนึ่งและพักให้เย็น

2. การทำสังขยา

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมส่วนผสม

1.1 ตีไข่: ตีไข่ไก่ให้เข้ากันในชามขนาดใหญ่

1.2 ผสมน้ำตาล: เติมน้ำตาลปี๊บและน้ำตาลทรายลงในไข่ตีให้ละลาย

1.3 เติมกะทิ: ใส่กะทิลงไปในส่วนผสมแล้วคนให้เข้ากัน

1.4 เติมแป้งข้าวเจ้า: เติมแป้งข้าวเจ้าและเกลือป่นลงไปแล้วคนให้เข้ากัน

ขั้นตอนที่ 2: นำสังขยาใส่ฟักทอง

2.1 ตัดฟักทอง: ใช้ช้อนขูดเนื้อฟักทองบางส่วนออก เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับสังขยา

2.2 เทสังขยา: เทส่วนผสมสังขยาลงในฟักทองที่เตรียมไว้

ขั้นตอนที่ 3: นึ่งสังขยา

3.1 เตรียมหม้อนึ่ง: เติมน้ำในหม้อแล้วตั้งไฟให้เดือด

3.2 นึ่งฟักทองที่มีสังขยา: วางฟักทองที่มีสังขยาในตะแกรงนึ่ง แล้วนึ่งประมาณ 30-40 นาที หรือจนกว่าสังขยาจะเซ็ตตัวและไม่ติดไม้ปลาย

3.3 พักให้เย็น: นำฟักทองออกจากหม้อนึ่งแล้วพักให้เย็น

3. การเสิร์ฟ

ขั้นตอนที่ 1: หั่นและเสิร์ฟ

1.1 หั่นฟักทอง: ใช้มีดหั่นฟักทองที่มีสังขยาเป็นชิ้นพอคำ

1.2 จัดเสิร์ฟ: เสิร์ฟสังขยาฟักทองในจานหรือถ้วย พร้อมกับฟักทองที่หั่นแล้ว


เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • การนึ่ง: ใช้ไฟอ่อนในการนึ่งเพื่อให้สังขยาเซ็ตตัวอย่างทั่วถึงและไม่แตก
  • การเลือกฟักทอง: ควรเลือกฟักทองที่มีเนื้อแน่นและหวานเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด
  • การผสมสังขยา: ให้ตีไข่และน้ำตาลให้ละลายดี เพื่อให้สังขยามีเนื้อสัมผัสที่นุ่มเนียน



ความสำคัญของขนมหวานไทยในวิถีชีวิตและประเพณี

ขนมหวานไทยมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตและประเพณีของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นในงานบุญ งานแต่งงาน งานเทศกาลต่างๆ หรือการทำบุญเลี้ยงพระ ขนมหวานเหล่านี้มักถูกนำมาใช้เพื่อเป็นสิ่งของบูชา หรือเป็นของขวัญในโอกาสสำคัญ สะท้อนถึงความรัก ความใส่ใจ และความปรารถนาดีต่อกัน

การสืบทอดและอนุรักษ์ขนมหวานไทย

ปัจจุบัน แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปและขนมสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ขนมหวานไทยยังคงได้รับการสืบทอดและอนุรักษ์จากรุ่นสู่รุ่น หลายคนยังคงให้ความสำคัญกับการทำขนมหวานไทยแบบดั้งเดิม ในขณะเดียวกันก็มีการปรับปรุงและสร้างสรรค์ขนมหวานไทยรูปแบบใหม่ๆ ให้เข้ากับยุคสมัย โดยไม่สูญเสีย


เครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการทำขนมและของหวาน

  • เครื่องหั่นผลไม้ เช่น หั่นฟักทองนำมาทำฟักทองแกงบวช
  • เครื่องทำคุกกี้ มีหลายประเภทที่ช่วยให้การทำขนมสะดวกและมีประสิทธิภาพ: เครื่องตีแป้ง (Stand Mixer) ใช้ผสมแป้งและส่วนผสมให้เข้ากัน; เครื่องปั่นมือ (Hand Mixer) เหมาะสำหรับการทำคุกกี้ในปริมาณน้อย; เครื่องทำคุกกี้ (Cookie Press) ใช้ในการกดแป้งให้มีรูปทรงที่สวยงาม; เครื่องอบคุกกี้ (Cookie Oven) ช่วยให้การอบคุกกี้มีความสม่ำเสมอ; และเครื่องปั่น (Blender) สำหรับผสมส่วนผสมที่เป็นของเหลว.
  • เครื่องทาเนยอัตโนมัติ ช่วยให้การทาเนยบนขนมปังหรือแผ่นแป้งเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยเครื่องจะทำงานอัตโนมัติเพื่อกระจายเนยอย่างสม่ำเสมอ มีฟังก์ชันที่สามารถปรับความหนาของชั้นเนยและความเร็วในการทาได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาการทำงาน



Palm: